หลังจากทำงานมาหลายวันติด พอมีเวลาว่างก็หาโอกาสออกไปสำรวจโลกข้างนอกบ้าง วันนี้มุ่งหมายจะไปที่ Crows Nest เมืองเล็กๆที่อยู่ในภูมิภาค Toowoomba เราเริ่มออกเดินทางประมาณ 11:00 น. (ก็ขอนอนตื่นสายบ้างอะไรบ้าง ไหนๆก็วันเสาร์ทั้งที ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ตื่นตั้งแต่ 5:30 น. มาตลอด) ขับรถผ่านเข้าตัวเมือง Toowoomba เพื่อแวะไปดู Garage Sales หากอ่านผิวเผินอาจจะนึกว่าขายโรงจอดรถ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ มันเหมือนเป็นวัฒนธรรมของคนออสเตรเลียอย่างนึงที่ต้องการกำจัดของที่ไม่ต้องการ แต่แทนที่จะทิ้งไปเสียเฉยๆก็เอาออกมาโล๊ะขายถูกๆแทน นอกจากจะขายของออกไปได้แล้วยังได้เงินอีกด้วย จะว่าไปก็หากเทียบกับวัยรุ่น Y2K แบบเรา มันก็คือเปิดท้ายขายของเหมือนที่บ้านเรา ที่สมัยเศรษฐกิจแตกเป็นฟองสบู่ คนเขาก็เอาของไปปูเสื่อวางขายตามตลาดนัดหรือตามลานห้างสรรพสินค้า แต่ Garage Sales แค่เปลี่ยนจากขายนอกบ้านเป็นมาวางของขายในบริเวณบ้านตัวเอง ใจไม่ได้หวังจะได้ของอะไรนักหรอก แต่รู้สึกสนุกเวลาเดินผ่านสินค้าต่างๆ เหมือนกำลังเล่นเกมล่าหาสมบัติยังไงก็ไม่รู้ สุดท้ายก็โดนตกได้ต้นว่านหางจระเข้กับหนังสือ 2-3 เล่ม
วันนี้แดดออกดีอากาศร้อนจริงๆ อีกอย่างคนขับเผลอขับรถครูดกับฟุตบาทจนยางล้อหน้าซ้ายบ่าไปหน่อยนึง เลยบอกเจ้าตัวให้เลี้ยงชานมไข่มุกให้หน่อย จะได้หายกัน 555
พอได้ชานมไข่มุกมาอยู่ในมือแล้วก็เลี่ยงออกไปเส้นทางนอกเมือง ระหว่างทางเป็นวิวเหมือนต่างจังหวัดบ้านเรา ตัวถนน 2 เลน โอบล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ตลอดทาง อากาศเกือบจะดีอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าแดดร้อนจนแสบผิว ขับไปเรื่อยๆจนรู้สึกอยากจะแวะเข้าห้องน้ำข้างทาง ก็ได้แวะที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์ของเมือง Hampton พอดี เป็นเมืองเล็กมากเล็กจริงๆ แต่ห้องน้ำเขาสะอาดนะ
ทำธุระเสร็จแล้วก็ล้อหมุนต่อ เดินทางมุ่งหน้าสู่ Crows Nest รวมๆแล้วใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีได้ จุดมุ่งหมายในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะเข้ามาเยี่ยมชม The Crows Nest Museum and Historical Village เอาจริงๆคือไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์นี้เลยแต่พอดีว่าได้อ่านนิตยสารรายเดือนของ Toowoomba ก็เห็นว่ามันน่าสนใจดี เนื่องจากเมืองนี้เป็น ‘จุดกำเนิด’ ของบริษัทซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังซึ่งก็คือ Ray White นั่นเอง และตัวเราเองก็อยากจะไปพักผ่อนหลังส่ง assignment ด้วย
และรูปด้านข้างคือทางเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ คือไม่มีรถเลย อยากเยี่ยมชมอะไรก็ตามสบาย ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นมาให้กวนใจ 555 ออฟฟิศพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ทางขวามือนะคะ ลักษณะทุกอย่างก็จะทำออกแนวย้อนยุคไปร้อยกว่าปีเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าใจถึงความเป็นอยู่ ลักษณะของชุมชนในช่วงเวลานั้น ตามคอนเซ็ปต์ Step back in time หากอยากจะไปเยี่ยมชมอย่าลืมพกบัตรนักเรียนไป เพราะจะได้ส่วนลด ส่วนเราน่ะหรอ หึๆๆๆ ลืมบัตรนักเรียนอีกเช่นเคย ส่วนใครที่อยากหาข้อมูลไว้ล่วงหน้าสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ https://cnhs.com.au/ ส่วนบรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์เป็นอย่างไรก็ตามไปดูวีดีโอที่เขาโพสต์ไว้ในเว็บได้เลยค่ะ
จริงๆพิพิธภัณฑ์นี้เขาจำลองหมู่บ้านหมู่บ้านนึงเลยนะคะเพราะฉะนั้นก็เดินได้ทั่วเลย ทุกอย่างที่จะมีในหมู่บ้านหนึ่งถูกถอดแบบจำลองออกมาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ทั้งโรงเรียน โบสถ์ ร้านซ่อมรถยนต์ ร้านขายของชำ ร้านตีเหล็ก ร้านขายกล้อง โรงประมูลสุกร อาจจะมีจุดที่ทำให้ตกใจบ้างเช่นห้องน้ำจำลอง หรือตามแสลงของคนออสเตรเลียเรียกกันว่า Dunnies เปิดประตูไปปุ๊บเจอหุ่นขนาดเท่าคนจริงจำลองว่ากำลังใช้ห้องน้ำอยู่ แล้วก็มีเสียงออกมาจากหุ่นซึ่งก็เป็น speaker ที่น่าจะจับสัญญาณเซ็นเซอร์เอาไว้ว่าถ้าหากมีคนเปิดประตูแล้วให้ส่งเสียงออกไปว่า ผมกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่นะช่วยปิดประตูด้วย! แหมไม่นึกเลยว่าจะเจอมุกนี้เล่นซะสะดุ้งเลยทีเดียว ส่วนตัวหุ่นก็นะ…แหม่
จุดที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจก็คือบ้านตระกูล White งงใช่ไหมล่ะคะ ว่าตระกูล White นี่คือใคร? ถ้าหากบอกว่า Ray White ล่ะ? ร้อยทั้งร้อยต้องรู้จักแน่นอน หนึ่งในเจ้าแห่งอสังหาริมทรัพย์ของประเทศออสเตรเลีย บ้านเกิดเขาอยู่ Crows Nest เริ่มต้นจากทำธุรกิจหลายๆอย่าง ทั้งขายอุปกรณ์ทำการเกษตร ขายประกัน รวมไปถึงการประมูลหมู (แต่ทางบ้านเจ้าหน้าที่ประจำพิพิธภัณฑ์บอกว่าเป็นธุรกิจประมูลหมูเป็นธุรกิจที่ทางบริษัทไม่ได้ภูมิใจสักเท่าไหร่) พอมีความชำนาญจากการทำธุรกิจหลายๆอย่าง ประสบการณ์ก็เพิ่มพูน สุดท้ายเรย์ก็ได้ก่อตั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมา จนปัจจุบันสื่อมาจนถึงรุ่นลูกนาม Alan White หากใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติของบริษัท Ray White สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ที่ https://www.raywhite.com/about-us/history
หลังจากเดินชมส่วนต่างๆของหมู่บ้านแล้ว เราก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำค่ะ โดยจุดมุ่งหมายเราจะเข้าที่บ้าน Ray White ที่ทางเจ้าหน้าที่แจ้งแต่แรกแล้วว่าเขายกบ้านทั้งหลังมาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เลย แล้วถ้าหากอยากเข้าห้องน้ำก็เชิญใช้ได้เลย มีพนักงานมาทำความสะอาดทุกวัน สายตาเราก็จับจ้องไปที่บ้านหลังนั้น อยู่ดีๆจากที่ประตูบ้านเปิดอยู่ 180 องศาติดผนัง อยู่ดีๆประตูก็ค่อยๆปิดอย่างช้าๆ อย่าเงียบกริบราวกลับมีคนปิดประตูซะอย่างนั้น ถามว่าตอนนั้นคิดอะไรไหม? ตอบเลยว่าไม่ ตอนนั้นคิดว่าเอ…ลงที่นี่มันพัดประตูได้พอเหมาะพอเจาะดี นี่ถ้าหากเป็นที่หอนะประตูคงปิดดังปั้ง!!ซะแล้ว (แล้วก็อาจจะมีเสียงคนบ่านมาตามสายลม)
พอก้าวเท้าเข้าไปในบ้านก็รู้สึกถึงความโอ่อ่าและความหรูทางของตัวบ้าน ทำเอาซะเราตื่นเต้นจนอยากเห็นห้องน้ำเร็วๆ แต่พอหันกลับไปดูคนที่มาด้วย เขาดันยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านแล้วก็มองเข้ามาในบ้าน สายตาสำรวจอะไรบางอย่างรอบๆในตัวบ้าน วินาทีนั้นรู้เลยว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน เลยหันไปถามเจ้าตัว ซึ่งเขาก็บอกว่า อ๋อ…ไม่มีอะไรหรอก…
หลังจากทำธุระเสร็จเดินออกมานอกบ้าน เขาก็บอกว่าเขารู้สึกได้ว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในบ้าน อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไรแต่รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของบางสิ่งบางอย่าง จบท้ายด้วยการเดินไปที่แผนกประชาสัมพันธ์ซึ่งอยู่หน้าสุดของพิพิธภัณฑ์ สอบถามกับพนักงานซึ่งพนักงานบอกว่าบ้านหลังนั้นไม่มีอะไรนะ แต่ถ้าหากเป็นบ้านหลังแรกเคยมีรายการมาขอถ่ายทำเกี่ยวกับเรื่อง Supernatural อยู่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นของการมาเยี่ยมเยียน The Crows Nest Museum and Historical Village เหตุผลที่อยากมาคืออยากมาเรียนรู้วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของคนออสเตรเลียในสมัยก่อน มีอะไรบ้างที่ต่างจากบ้านเราทั้งขนบธรรมเนียม ความเชื่อ อัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นต่างย่อมแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น อาชีพคนตีเหล็กซึ่งเมื่อก่อนเขามักเชื่อกันว่าคนตีเหล็กมักจะมีเวทมนต์ (semi-magical figure) อันเนื่องมาจากความสามารถในการตีเหล็กให้กลายเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันได้ หรือการได้เรียนรู้วิธีการขนส่งนมสดในสมัยก่อนโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่จะทำให้นมสดเน่าเสียช้าที่สุด แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เราไม่ได้เห็นอะไรในประวัติศาสตร์ของเราแน่นอน เพราะวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ต่างกัน การได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์คราวนี้ได้ทำให้เราเห็นถึงส่วนหนึ่งของความเป็นมาของประเทศออสเตรเลีย