ชื่อหนังสือภาษาอังกฤษ : No Big Deal
ชื่อภาษาไทย : –
เขียน : Bethany Rutter
แปล : –
สำนักพิมพ์ : Pan Mcmillian
จำนวนหน้า : 320 หน้า
ISBN : 9781509870059
ภาษา : อังกฤษ
ราคาปก : ₤7.99
เป็นหนังสือที่มีหน้าปกสีชมพูหวานเลี่ยนเหมือนกับสีบนหน้าเว็บที่ตัดกับสีดำได้เป็นอย่างดี มาพร้อมด้วยการ์ตูนสาวน้อยหุ่นสมบูรณ์ที่มีสไตล์ในการแต่งตัวอยู่ตรงกลางเล่ม คำโปรยด้านหลังทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องสั้นๆว่า No big deal เกี่ยวกับความรักของ Emily สาวจ้ำม่ำที่โชคชะตาเล่นตลกให้เริ่มรู้จักความรักครั้งแรกกับชายหนุ่มนามว่า Joe
Emily เป็นเด็กสาวที่เรียนอยู่ชั้นปีสุดท้ายของวัยมัธยม การเรียนดี รายล้อมด้วยเพื่อนๆที่น่ารักและจริงใจ หลงรักการช็อปปิ้งและแฟชั่น มีสไตล์การแต่งตัวแสนเริ่ดทุกกระเบียดนิ้ว แต่บางคนก็ยังค่อนขอดเธอเพียงแค่เพราะ Emily มีน้ำหนักเกินมาตรฐานตามที่สังคมกำหนดเอาไว้ อย่างไรก็ตามเธอก็รักตัวเธอ เธอภูมิใจในตัวเอง เพื่อนๆรักเธอ ครูที่โรงเรียนก็รักเธอ และสมาชิกในครอบครัวก็รักเธอ อาจจะมีบ้างที่ Emily ไม่ค่อยกินเส้นกับแม่ผู้บังเกิดเกล้าเท่าไหร่นัก เพราะแม่เป็นพวกคลั่งผอมที่พยายามเข้าลัทธิกลุ่ม Diet อยู่เป็นประจำที่ทำให้บางครั้งเธอก็เผลอลืมตัวกระกระแหนลูกสาวลูกที่รักในบางครา
I’m not just a tragic fat loser. I’m a cool fat baby. With attractive male friends.
Emily Daly
แต่ถึง Emily จะเริ่ด จะเป็นแม่พระผู้ซึ่งเพื่อนๆต่างชอบร้องขอคำปรึกษาจากเธอเป็นประจำ(โดยเฉพาะเรื่องความรักความสัมพันธ์) เธอก็ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์จริงเหล่านี้ในชีวิตกับเธอสักที ว่าง่ายๆนั่นก็คือเธอไม่ประสีประสากับเรื่องพวกนี้เลยสักนิด แต่เมื่อกามเทพเล่นตลกในคืนหนึ่งที่งานเลี้ยงของเพื่อนเธอ ลูกศรได้ทิ่มเข้าหัวใจของ Emily ดังฉึก! ทำให้ Emily ได้พบกับเด็กหนุ่มนาม Joe เด็กซิ่วมหาลัยฯ ผมสีบลอนด์ทราย ตาสีฟ้า พร้อมด้วยแว่นสายตาที่ส่งเสริมให้โครงหน้าของเขาดูดีสุดๆ จากช่วงระยะเวลาสั้นๆที่ทั้ง 2 ได้พูดคุยกัน เธอก็รู้สึกถึงเคมีที่เข้ากันอย่างรุนแรง! โดยมีความหลงใหลในดนตรีของทั้ง 2 เป็นตัวประสานบทสนทนา แล้วไหน Emily เพิ่งจะมารู้ว่าผู้ชายที่เธอชอบอย่างจังนี้อยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนเธอนี่เอง…โธ่ ทำไม่ถึงไม่เคยเจอเขาเลยนะ
สาวร่างท้วมของเราเริ่มรุกแบบมีมารยาท จูบแรกของเธอจะหวานหยดย้อยเหมือนในนิยายหรือเปล่า? แล้ว Joe จะมีใจให้ Emily หรือไม่? บทสรุปความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะยืนยาวไปตลอดเหมือนเทพนิยายไหม? สาวอ้วนอย่างเธอจะได้ลิ้มลองการความสัมพันธ์ทางกายเป็นครั้งแรกในชีวิตหรือไม่?
ความคิดเห็น
มันเหมือนเป็นเรื่องราวความรักแบบวัยรุ่นแต่พล็อตมันโดนใจ หากเคยมีความรักสมัยวัยรุ่น คุณจะเข้าใจความรู้สึกของ Emily ได้เป็นอย่างดีที่เมื่อเจอคนที่ชอบ ความคิดเราก็ชอบไปวนเวียนถึงคนนั้นอยู่บ่อยๆ อยากรู้จักให้มากกว่านี้ อยากตามสืบข้อมูลเขา ที่บ้านเป็นอย่างไร พี่น้องกี่คน ชอบสีอะไร ชอบทำอะไรและ…มีแฟนแล้วหรือยัง?!? แต่ๆๆ Emily ก็ไม่เคยทิ้งการเรียนนะจ๊ะ ถึงแม้ว่าเธอไปเดินเที่ยวกับ Joe แล้วลืมส่งการบ้านเรียงความ ทำให้ต้องมานั่งปั่นงานทั้งคืน แต่งานที่ออกมานี่เกรด A เลยนะ (เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรา เพราะงานร้อนไม่เคยได้คะแนนดีแบบนี้ ฮา) นั่นคงเป็นเพราะตัวเธอเองก็เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนมาโดยตลอด แล้วยิ่งเวลาที่ตัวเอกของเราพยายามทำให้ตัวเองดูชิลที่สุดต่อหน้าผู้ชายที่ปลื้มนี่คือมันใช่ ทั้งๆที่หัวใจจะหลุดออกมาอยู่นอกอกอยู่แล้ว แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามก็ต้องไว้ท่ากันหน่อย
หนังสือเล่มนี้ไม่พียงแต่พูดถึงความรักของสาวขนาดเกินมาตรฐานกับผู้ชายหน้าตาดีเกณฑ์มาตรฐานอย่างเดียวเท่านั้น ที่นอกจากผู้อ่านจะได้ทำความเข้าใจความคิดที่อยู่ในหัวของสาว Plus size – Emily แล้วว่าบางทีเธอก็รุ้สึกไม่มั่นใจตนเองเวลาที่ถูกเหน็บแนมจากแม่, สาวนางร้ายเพื่อนร่วมชั้น Holly หรือแม้คนเดินถนนทั่วไปที่เธอเดินเกือบจะชนเรียกเธอว่า ‘Fat bitch’ แต่ยังมีอีกมุมหนึ่งอย่างเรื่องของ ‘เพศทางเลือก’ ให้เราได้ตระหนักว่ายังมีสิ่งอื่นในสังคม อย่างคู่ Ella กับ Sophia ที่เป็นหญิงรักหญิง มันอาจจะเป็นเรื่องแปลกในสังคมบางแห่งที่เห็นผู้หญิง 2 คนจูบกัน แต่ไม่ใช่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ที่ทุกคนเข้าใจว่าสิ่งนี้คือความรักที่คน 2 คนมีให้กัน ทำไมเราจะต้องมองให้มันผิดแปลกต่างจากที่ผู้ชายจูบกับผู้หญิงด้วย?
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าหนังสือเล่มนี้พยายามเปิดมุมมองกว้างกับเพศทางเลือก ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมบางสังคมมองว่าเป็นเรื่องผิดเพี้ยน ก็ตอนที่พี่สาวของนางเอกเราสงสัยว่าเธอมีความรักหรือมีแฟนแล้ว เลยอดใจไม่ไหวถามน้องแล้วออกตัวเลยว่าเธอไม่สนหรอกนะถ้าหากคนที่ Emily คบอยู่จะเป็นหญิงหรือชาย
ตัวละครหลักอย่างสาวที่มีน้ำหนักเกินกว่าสังคมไม้บรรทัดกำหนดและคู่รักเพศเดียวกันในวัยมัธยมปลาย คือสิ่งที่ผู้เขียนตั้งใจให้ผู้อ่านเห็นถึงความเป็นจริงในสังคมว่าความหลากหลายนั้นอยู่รอบตัวเรา ความอ้วนไม่ใช่เรื่องผิด การที่คนเพศเดียวกันมีความรักลึกซึ่งให้กันและกันไม่ใช่เรื่องผิดแปลก แต่สิ่งแยบยลที่ทำให้ดูเหมือนว่าปกติในหนังสือเล่มนี้คือ คู่พ่อและแม่ของ Emily
จริงอยู่ที่ครอบครัวนี้อยู่กันพร้อมหน้าทั้งพ่อและแม่ ส่วนพี่สาวอยู่เมืองอื่นเพราะย้ายเข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ตัวเองเรียน แต่ที่สถานะผู้นำในครอบครัวนี้ถูกตัดสินและเหน็บแนมจากผู้มาเยือนภายนอกคือ แม่ทำงาน พ่ออยู่บ้าน จึงเป็นเรื่องผิดแผกไปจากสังคมที่ถูกพร่ำสอนมาว่าพ่อคือคนที่ไปทำงานนอกบ้านหาเลี้ยงชีพให้กับครอบครัว ส่วนผู้เป็นแม่มักจะอยู่บ้านทำงานในบ้าน อย่างการเตรียมกับข้าวหาอาหารให้สมาชิกในครอบครัว แต่การกำหนดบทบาทพ่อและแม่ของ Emily ในเรื่องนั้นเป็นเรื่องตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนสังคมเห็นว่าจะต้องเป็นอย่างนี้เสมอ – แล้วในเมื่อคุณบอกว่าหญิงชายมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ทำไมผู้ชายจะเป็นคนที่ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านฝีมือเยี่ยม เรียนรู้วิธีทำอาหารระดับเชฟในขณะที่เขากำลังต่อสู้หางานอื่นทำไปด้วย ส่วนผู้เป็นภรรยาเป็นกำลังหลักในการหารายได้เข้าบ้านเพื่อจุนเจือคนในบ้านไม่ได้หรือ?
หากคุณได้อ่านไปจนถึงหน้าสุดท้ายของเรื่องแล้ว เราอยากให้คุณอ่านเกี่ยวกับตัวผู้เขียนสักนิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นใน No Big Deal เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอโดยตรงทั้งในช่วงวัยรุ่นและเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ Bethany ผู้เขียนให้คำแนะนำกับผู้หญิง Plus size ในการรักตัวเองและควรทำอย่างไรที่จะทำให้เรารักตัวเองมากขึ้น มันเป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้สึกกดดันอะไรเลยหากเราอยู่ในสังคมที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราเป็น ทำให้เราคิดว่าตรงส่วนนี้ผู้เขียนได้เปรียบกับการที่ Emily ต้องอยู่กับแม่ผู้คลั่งความผอมเมื่อยู่บ้าน แต่อีกด้านหนึ่งเธอก็มีเพื่อนๆที่เข้าใจเธอ รักในสิ่งที่ Emily เป็น ถึงแม้ว่าหนึ่งในนั้นจะมีช่วงเวลาที่ผิดใจกับ Emily ก็ตาม
I really want to say is that romance will come and go, but the great love of your life is yourself.
Bethany Rutter
No big deal มีด้วยกันทั้งหมด 21 บท ชื่อหัวเรื่องแต่ละบทเป็นเพลงที่สื่อถึงอารมณ์ของบทนั้น หากผู้อ่านอยากพักสายตาจากการอ่านหนังสือ ก็ลองเปิดเพลงของแต่ละบทฟังดูได้เผื่อว่าอาจทำให้คุณเข้าใจถึงความเป็น Emily มากขึ้น
เหนือสิ่งอื่นใดที่ผู้เขียนกะเทาะให้เห็นถึงความรู้สึกของคนที่ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์เรื่องน้ำหนัก ผู้เขียนยังให้เรารักตัวเองเมื่ออยู่ในความสัมพันธ์ที่เรารู้สึกว่าไม่ถูกต้องไม่ว่าคุณจะมีขนาดเท่าไหร่หรือหน้าตาแบบไหน ความสัมพันธ์ที่ไม่ก่อเกิดความสบายใจให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะทนทานได้ยาวนานขนาดไหน? แล้วเราจะหาวิธีแก้ไขมันได้อย่างไร? คำตอบอยู่ในตอนท้ายของหนังสือเล่มสีชมพูหวานหยดย้อยนี้