ตั้งแต่ตั้นปี จนถึงกลางปี 2022 เป็นปีที่มี Movement เยอะมาก มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นทั้งที่เราได้เตรียมตัวและไม่ได้เตรียมตัว ถ้าเทียบกับการทำงานก็เรียกได้ว่าเป็น On-the-job training กันเลยทีเดียว ก็ค่อยๆแก้ค่อยๆทำกันไป เอาสิ่งเกิดขึ้นเก็บและจำไว้ใช้ในอนาคต
โควิด ติดทั้งบ้าน
เป็นโรคที่ใครๆก็ไม่อยากเป็น เพราะถ้าเป็นแล้วจะทำให้ชีวิตทำมาหากินลำบากเนื่องจากต้องกักตัว บอกก่อนเลยว่าเวลาเราไปทำงาน (เข้าออฟฟิศ หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์) เราใส่หน้ากาก 2 ชั้นเสมอ เพราะกลัวติดมาจากข้างนอกบ้าน อุตส่าห์หลีกลี้หนีกายจากโรคโควิดตั้งแต่ซีซั่นแรก นึกว่าจะหนีพ้น ที่ไหนได้ ดันติดมาจากคนในบ้าน ติดมาจากใคร? ก็ติดมาจากพ่อนั่นแหละ
อาการเริ่มออกโดยพ่อรู้สึกหนาวๆตอนอยู่ในรถ เราก็นึกว่าแกเป็นไข้ธรรมดา เพราะเวลาแกโดนฝน วันต่อมาเป็นไข้ ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพ่อ แต่มีบางอย่างทำให้เราตะหงิดใจ บังคับให้พ่อตรวจ ATK สรุปคือขึ้น 2 สีแดงแจ๊ดแจ๋
วันต่อมาก็เป็นเราที่เริ่มมีอาการเจ็บคอ เรารู้ตัวทันทีเลยว่าใช่แน่ๆ 2 พ่อลูกเลยจับมือเดินไปตรวจ RT-PCR ที่โรงพยาบาล คำตอบก็คงไม่เป็นอย่างอื่นนอกจากติดโควิดจ้า 2 วันต่อมาแม่แล้วก็เริ่มไอค๊อกแค๊ก ผลตรวจ RT-PCR ออกมาก็ติดโควิดเช่นกัน เรียกได้ว่าติดแบบยกแพคเกจทั้งครอบครัว
ตอนแรกที่เป็นห่วงที่สุดคือคุณแม่ เพราะคุณแม่เป็นเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินประจำ โชคดีที่ทางบ้านไม่มีใครอาการรุนแรง จะว่าไปคนที่อาการแย่ที่สุดคือเราเองเพราะคอบวม บวมแบบจับคอแล้วรู้สึกเลย แต่หายใจได้ปกติ ซึ่งหลังจากเข้าสู่โหมดกักตัวผ่านไปวันแรก หมอโทรมาให้เราไปโรงพยาบาลอีกรอบ ไม่ใช่เพราะอาการโควิดนะ แต่เป็นเพราะแพ้ฟ้าทลายโจร
เห็นเค้าฮิตติดกันก็เลยติดบ้าง เอ้ยไม่ใช่!
จักรวาลทั้งใบ ย้ายมาอยู่ในบ้าน
บ้านเราเป็นตึกแถว แน่นอนว่าผนังห้องตึกแถวส่วนใหญ่มักจะเป็นสีขาวตามแบบสำเร็จรูป อยู่นานกันมาเกือบ 30 ปี ก็เริ่มมีรอยแตกรอยร้าวตามอายุงาน แล้วพวกมดมันชอบไต่ตามรอยแตกพวกนี้ แต่พ่อเราไม่อยากฆ่ามด เพราะพ่อคิดว่าช่วงก่อนเป็นโควิดไม่กี่อาทิตย์ พ่อฉีด DDT ฆ่ามดเป็นร้อยๆพันๆตัว อาจเป็นผลกรรมทำให้ทั้งบ้านเราติดโควิด พ่อเลยหาวิธีแก้อย่างอื่นคือซื้อวอลล์เปเปอร์ลายอวกาศมาติดผนังในห้องครัว
ลองนึกดูว่าปกติแล้วเวลาเดินขึ้นบันไดมาเป็นเวลาหลายสิบปี เราจะเห็นผนังสีขาวล้วน แต่คราวนี้มันเปลี่ยนไปมาก จากผนังสีขาวที่ไม่มีอะไรเลย กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม และมีมนุษย์อวกาศตัวใหญ่ลอยละล่องอยู่บนนั้น ก็หวังว่าวิธีนี้ของพ่อจะได้ผลว่ามดจะไม่มาอีก
อีกเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในบ้าน คือเราได้ตู้เก็บของใหม่ บางคนอาจจะไม่ตื่นเต้นอะไร แต่เราตื่นเต้นมาก ^^ เพราะห้องนอนเราขนาด 3 × 3 จะใส่ของเยอะไม่ได้ มันจะดูรก เพราะฉะนั้นการยัดของทุกอย่างลงไปในตู้ดูท่าจะเป็นทางแก้ที่ดีที่สุด ก่อนหน้าได้ชั้นวางของมาใช้แก้ขัด แต่มันดูกะหล่องป่องแป๊งมาก อยากได้ตู้ที่มันมีฝาปิด ฝุ่นจะได้ไม่จับ สุดท้ายก็ได้เจอตู้สีขาวสองตู้มาประดับไว้ในห้องสมใจ
เตรียมเอกสารวีซ่านักเรียนออสเตรเลีย และ…ลาออกจากงาน
ใครว่าการเตรียมเอกสารสำหรับการไปเรียนต่อออสเตรเลียไม่เหนื่อย สำหรับเราที่ทำงานประจำไปด้วย เตรียมเอกสารให้พร้อม การเงินต้องแน่น คิดสะระตะไปหมด ไหนจะลุ้นกับผลตอบรับจากมหาลัยฯอีก ไล่บี้มหาลัยอีก เขียนร่างเอกสาร SOP ว่าทำไมอยากเรียนแล้วต้องส่งไปให้มากกว่า 1 มหาลัย ติดต่อเอเจ้นท์ที่ซึ่งเคยติดต่อไปเมื่อปีที่แล้วจนพี่เค้าลืมไปแล้ว ไหนจะต้องลุ้นกับเรื่องบางเรื่องที่เรากลัวว่ามันจะเป็นผลกระทบกับวีซ่าอีก ตัวเอกสารใช้เวลาเตรียมเกือบ 6 เดือนก็จริง แต่อย่างอื่นเช่นประวัติส่วนตัวการได้ทุน การทำงานเป็นอาสาสมัคร ประวัติการเงิน ทรัพย์สินที่มีพวกนี้เราใช้เวลาสร้างเป็นปีๆ
ช่วงต้นปีนี้มีลางานไปขอเอกสาร ลางานเพื่ออยู่บ้านเตรียมเอกสารอย่างเดียว ลางานเพื่อพักผ่อนร่างกาย ซึ่งโดยปกติเราไม่ใช่คนลางานพร่ำเพื่อเลยนะ เป็นคนที่วันลาเหลือเยอะตลอดจนหัวหน้าต้องขอร้องแกมบังคับว่าลาๆบ้าง นี่ก็ตัดวันลาสมทบ 4 วันไปปีหน้าแล้วนะ ยังเหลือเยอะจนคนอื่นแทบอยากจะขอซื้อวันลา และเรื่องของเรื่องคือไม่ได้เตรียมแต่เอกสารของตัวเอง แต่ต้องเตรียมของคุณแม่ด้วยเนื่องจากคุณแม่อยากจะไปส่งลูกสาวคนนี้ไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย
สุดท้าย เมื่อผลวีซ่าออก ก็แทบจะยกหินออกจากอก แต่ก้อนสุดท้ายที่ยังอยู่ในใจคือการแจ้งที่ทำงานว่าจะ ‘ลาออก’ … ไม่รู้จริงๆว่าทำไมมันหนักใจ ทั้งๆที่เราลาออกก็เพื่ออนาคตของเรา แต่ด้วยความที่ที่ทำงานแห่งนี้เป็นที่ๆเราทำงานตั้งแต่เรียนจบ อยู่ด้วยกันมา 5 ปี ได้สั่งสมประสบการณ์การทำงานที่ไม่มีสอนในห้องเรียนจากที่แห่งนี้ ได้เจอเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าที่ดี ตลกโปกฮาและความวุ่นวาย ที่แห่งนี้สอนเราขัดเกลาให้มีความเป็น ‘มืออาชีพ’ มากยิ่งขึ้น ทะเลาะกันบ้าง หัวเสียกันบ้าง แต่เรามองมันเป็นประสบการณ์เสมอนะ ไม่ได้พูดให้ดูหรูหราสวยงาม แต่พอมองย้อนกลับไป มันอย่างนั้นจริงๆ
ท้ายที่สุดเราก็ต้องเดินไปตามทางของเราเองที่ขีดเส้นไว้…
ปักษ์ใต้จ๋า เหมียวจ๋า เรามาอีกครั้ง
เป็นธรรมเนียมประจำครอบครัวที่เมื่อมีช่วงวันหยุดยาวเราจะลงใต้กัน ก่อนเดินทางก็วางแผนกันไว้ซะอย่างดิบดี จะไปเที่ยวคาเฟ่ที่ไหนบ้าง จะไปกินอะไรกัน พอถึงเวลาจริงๆสรุปคืออยู่บ้านทั้งวัน เพราะต้องตรวจเช็คและซ่อมแซมบ้านเช่า พวกเราถือคติ ‘ช่างไม่ต้อง พ่อทำเอง’ ส่วนแม่เป็นลูกมือ เราก็คอยให้กำลังใจทั้ง 2 คนอีกที ของที่ต้องเปลี่ยนก็มีหลอดไฟ 5 หลอด สวิทช์ไฟเกือบทุกจุด เดินสายไฟ เปลี่ยนมุ้งลวด ลูกบิด ก๊อกน้ำ ที่ฉีดชำระ ลูกลอย ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำในบ้านเช่า 1 หลัง ยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำ
นอกจากงานสำคัญที่คอยให้กำลังใจพ่อแม่ปรับปรุงบ้านเช่า เราก็เอาเวลามาเตรียมเอกสารเรียนต่อที่ออสเตรเลีย เตรียมข้อมูล เขียนเรียงความ แล้วจะต้องมานั่งตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร ขอบอกเลยว่าเหนื่อยจริงๆ (แต่ถึงเหนื่อยก็คุ้มนะ)
นอกจากเรื่องซ่อมแซมบ้านที่จะต้องหมั่นเช็คอยู่เสมอ ความคิดถึงที่เรามีต่อเจ้าเหมียวที่บ้านก็ไม่เคยลดลง จริงๆอยากเอามาเลี้ยงที่กรุงเทพนะ แต่บ้านเราเป็นตึกแถวมันไม่เหมาะ อีกอย่างเจ้าเหมียวก็ชินกับบ้านที่นั่นแล้วด้วย หล่อนรู้หมดว่าอะไรตรงไหนเป็นอย่างไร รู้ว่าต้องเข้าบ้านกี่โมง ตรงไหนอันตรายไม่อันตราย ชีวิตของเจ้าหล่อนมีอิสระเต็มที่ ถามว่าเหมียวเป็นนักสู้ใช่ไหม? เปล่าเลย เธอเป็นนักวิ่ง วิ่งหนีตลอด
ต้นปีนี้เป็นอะไรที่หลายอย่างมาก คือไม่ได้เหนื่อยกาย มันเหนื่อยข้างใน แต่ไม่ท้อนะ ที่เหนื่อยเพราะงานที่ต้องเตรียมมันลากยาวเกือบ 6 เดือน ซึ่งผลออกมาก็คุ้มกับค่าเหนื่อยจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเดินทางที่จะเริ่มขึ้นในไม่ช้า อะไรที่มันเป็นอุปสรรก็ค่อยๆแก้กันไป (ก่อนแก้ก็ขอกรีดร้องก่อนแล้วมาเริ่มสู้กันสักตั้ง .ฮา.) บางงานต้องอาศัยความเร็ว บางงานต้องรอจังหวะ เนี่ยแหล่ะนา…ชีวิตมันต้องมีสีสันแบบนี้สิ่…เอาล่ะ…เตรียมตัวออกเดินทาง!