ชื่อหนังสือภาษาอังกฤษ : The Grimm Legacy
ชื่อภาษาไทย : มรดกมนตราจากริมม์
เขียน : พอลลี่ ชูลมาน (Polly Shulman)
แปล : ดร.ธนวรรณ นภาศรี
สำนักพิมพ์ : อิ่มอ่าน
จำนวนหน้า : 312 หน้า
ISBN : 9786161401542
ภาษา : ไทย
ราคาปก : 230 บาท
มรดกมนตราจากกริมม์เป็นหนังสือแนววรรณกรรมเยาวชนที่สั่งมาอีกเล่มจากสำนักพิมพ์อิ่มอ่าน จริงๆแล้วเราก็สั่งหนังสือพวกแนววรรณกรรมเยาวชนมาหลายเล่มจากสำนักพิมพ์นี้ เพราะยอมรับตรงตรงเลยว่าสำนักพิมพ์อิ่มอ่านได้เลือกสรรนิยายสนุกๆหลายเล่มมาแปลให้พวกเราได้ท่องไปในโลกจินตนาการไม่รู้จบ อีกทั้งหนังสือแต่ละเล่มของสำนักพิมพ์เจ้านี้มีหน้าปกที่สะดุดตา เห็นแล้วก็อยากลองหยิบมาอ่าน เหตุผลอีกอย่างคือเป็นสำนักพิมพ์ที่เราไม่ค่อยเจอคำพิมพ์ผิดในเล่มเท่าไหร่ ถือว่าเป็นที่น่าประทับใจนักอ่านอย่างเรา เวลาอ่านนิยายแล้วเจออะไรผิด เช่น พิมพ์คำผิดหรือประโยคแปลกๆที่ดูไม่ค่อยเข้ากันพวกนี้ค่อนข้างจะเป็นที่ขัดใจเราอยู่พอสมควร
เราได้หนังสือเรื่องมรดกมนตราจากกริมม์จากการที่เข้าไปเยี่ยมชม Facebook ของสำนักพิมพ์อิ่มอ่านเพื่อที่จะดูว่ามีวรรณกรรมเยาวชนเล่มไหนให้สั่งซื้อหลังจากอ่านชุดนิทานกริมม์หฤโหด 1 2 3 ไปแล้วทั้งสามเล่ม จนในที่สุดก็เจอหนังสือที่อิงต้นตำรับนิทานของ 2 พี่น้องตระกูลกริมม์อีกเรื่องคือ มรดกมนตราจากกริมม์
หลังจากสอบถามผ่านทาง LINE กับแอดมินของสำนักพิมพ์อิ่มอ่าน ก็ได้ตกลงปลงใจสั่งซื้อหนังสือชุดนี้ ซึ่งประกอบด้วย 2เล่ม โดยเล่มแรกคือ ‘มรดกมนตราจากกริมม์’ เล่มที่ตามติดกันมาคือ ‘มรดกตกทอดจากเวลส์’ ขอบอกเลยว่าหน้าปกหนังสือวรรณกรรมชุดนี้ออกแนวแบบ…บอกไม่ถูก ฮา… แต่เรารู้สึกว่ามันเหมือนสไตล์ของเล่นไฮโซไฮซ้อที่ฝรั่งชอบเก็บสะสมกัน มีความหวานแหววแบบโบราณๆ ถึงอย่างไรเสียหน้าปกก็คือหน้าปก สิ่งที่สำคัญคือเนื้อหาภายในเล่มว่าจะดึงเราเข้าสู่อีกโลกได้มากน้อยแค่ไหน
เรื่องย่อ
การผจญภัยในหนังสือเล่มนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อนักเรียนหญิงคนหนึ่งนามว่า ‘เอลิซาเบธ’ เธอเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยมีเพื่อน อาศัยอยู่กับครอบครัวใหม่ เนื่องด้วยพ่อของเธอแต่งงานอีกครั้งหลังแม่ของเอลิซาเบธจากไป แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเอลิซาเบธกับแม่เลี้ยง และพี่สาวต่างมารดาของเธอดูค่อยจะลงรอยเท่าที่ควร ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เอลิซาเบธตั้งใจเรียนน้อยลง กลับตรงกันข้าม เธอเป็นเด็กที่มีจิตใจรู้จักความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความถ่อมตน และเมื่อคุณสมบัติเหล่านี้รวมตัวกัน ทำให้เอลิซาเบธเป็นนักเรียนคนโปรดของมิสเตอร์เม้าส์คอฟ – ครูสอนวิชาสังคมศึกษาที่โรงเรียน แล้วใครจะไปเชื่อว่าครูสอนวิชาสังคมธรรมดาๆ จะเป็นตัวกลางให้เธอได้เจอสิ่งวิเศษที่อาบด้วยมนตราจากเทพนิยายที่มีอยู่จริงบนโลกมนุษย์!
สาวน้อยเอลิซาเบธได้รับการแนะนำจากมิสเตอร์เม้าส์คอฟให้ทำงานที่หอพัสดุแห่งนิวยอร์ก สถานที่ๆคล้ายกับห้องสมุดที่มีไว้ยืมหนังสือ เพียงแต่หอพัสดุแห่งนิวยอร์กไม่ได้เป็นการยืมหนังสืออย่างเดียว แต่คุณสามารถยืมสิ่งของได้สารพัดอย่างตามแต่ที่หอพัสดุมี สิ่งที่แปลกไปกว่านั้นคือหอพัสดุไม่ได้มีแค่สิ่งของธรรมดาๆทั่วไป สถานที่แห่งนี้ยังเป็นห้องเก็บของที่ไม่มีใครนึกว่ามันมีอยู่จริง
เอลิซาเบธพบว่ามีห้องเก็บของอยู่ห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งของอันอบอวลไปด้วยมนตร์วิเศษจากนิทานของพี่น้องตระกูลกริมม์ คุณจะเชื่อไหมล่ะว่าในหอพัสดุแห่งนี้มีรองเท้าหุ้มข้อเจ็ดลีกที่เพียงแค่คุณขยับนิดเดียว คุณก็ก้าวไกลได้เป็นไมล์ รูปภาพที่แปรเปลี่ยนและแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่คุณร้องขอ กระจกวิเศษจากเรื่องสโนว์ไวท์ที่สุดแสนจะเจ้าเล่ห์แสนกล และการที่อลิซาเบธได้เป็นเสมียนที่หอพัสดุแห่งนิวยอร์กทำให้เธอรู้ว่าตัวเธอเองนั้นมีความสามารถพิเศษในการแกะรอยเวทมนตร์ด้วยการดมกลิ่น!
จากเด็กพูดน้อย มีเพื่อนไม่เยอะ สถานที่แห่งนี้จะทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป นอกจากจะมีเพื่อนเป็นสาวสวยชื่ออัญชลี หนุ่มหล่อนักกีฬาดาวประจำโรงเรียนชื่อมาร์ค และแอรอน หนุ่มที่พูดจาไม่ค่อยเข้าหูเอลิซาเบธเสียเท่าไหร่แต่มีโครงหน้าที่หล่อคมคาย เข้ากันกับผมสีดำขลับของเค้า เธอและเพื่อนเสมียนคนอื่นๆที่ทำงาน ณ หอพัสดุแห่งนิวยอร์กผูกพันกันแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เมื่อวันหนึ่งพวกเขาค้นพบว่าสิ่งของต้องมนตราเริ่มหายไปจากหอพัสดุ! ใครกันคือผู้ร้าย แล้วเด็กกลุ่มนี้จะเชื่อใจใครในหอพัสดุได้หรือไม่ ในเมื่อทุกคนต่างตกเป็นผู้ต้องสงสัย แล้วจะนำของวิเศษจากเทพนิยายพี่น้องตระกูลกริมม์มาได้อย่างไรล่ะ
“จำไว้นะ เอลิซาเบธ อย่างแพร่งพรายเรื่องเวทมนตร์ที่นี่ให้ใครรู้ ผลดีที่สุดคือพวกเขาไม่เชื่อเธอ ผลร้ายที่สุดคือพวกเขาเชื่อเธอ”
ดอกเตอร์รัสต์ – มรดกมนตราจากกริมม์
ความรู้สึกหลังอ่าน
ช่วงต้นเรื่องเรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันค่อนข้างเนือยๆ อาจจะด้วยเพราะบุคลิกของเอลิซาเบธเอง เพราะครอบครัวของเธอไม่ได้อบอุ่นตามครอบครัวในอุดมคติ แต่พอมากลางเรื่องก็เริ่มสนุก เอลิซาเบธได้ค้นพบของวิเศษในหอพัสดุแห่งนิวยอร์ก ซึ่งถ้าเราจินตนาการตาม เราก็รู้สึกว่าหากได้ทำงานในสถานที่แบบนี้มันต้องสนุกแน่ๆ และจะต้องมีสิ่งที่ทำให้เราแปลกใจอีกเยอะแน่นอน ตัวละครที่ทำงานในหอพัสดุแต่ละคนก็มีบุคลิกแตกต่างกันไป โดยเฉพาะดอกเตอร์รัสต์ที่ดูเหมือนกับว่าจะผู้ที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหอพัสดุแห่งนี้มากที่สุดคนหนึ่ง แล้วเหล่าเสมียนแต่ละคนก็ทำตัวลับๆล่อๆจากพฤติกรรมที่เอลิซาเบธสังเกตเห็นและตั้งข้อสงสัย มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าเป็นไปได้ไหมว่าเหตุการณ์เลวร้ายในเรื่องต้องเป็นตัวละครเหล่านี้ จากนั้นความสนุกของหนังสือเล่มนี้ก็เริ่มพุ่งขึ้นมา มันสามารถพาเราหลุดเข้าไปอยู่ในเรื่องนี้ได้ ว่าถ้าสักวันหนึ่งหากเราได้อยู่รายล้อมท่ามกลางของวิเศษเหล่านี้ เราจะรู้สึกอย่างไร และเราจะทำอย่างไรกับมัน เราจะเอามันไปเพื่อเอื้อสิทธิพิเศษส่วนตัวหรือเปล่า หรือเราจะใช้มันไปในทางไม่ดีไหม
แต่พอมาอ่านถึงช่วงที่กลุ่มเด็กๆเข้าสู่โหมดค้นหาความจริง เข้าปะทะต่อกรกับเหล่าวายร้าย เรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันค่อนข้างที่จะจบง่ายไปหน่อย และตัวร้ายก็ทำอะไรที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล เพราะมีหลายครั้งเลยที่ทำให้ตัวเอกและผองเพื่อนรอดไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีเหตุผล ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้บทตอนท้ายเรื่องค่อนข้างจะตัดจบง่ายไปหน่อย บางสิ่งบางอย่างดูเหมือนกับว่าไม่มีที่มาที่ไปว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
(สปอยล์)
.
.
.
ยกตัวอย่างเช่น อยู่ดีๆตัวร้ายที่เป็นคนต้นเรื่องวางแผนทั้งหมดมาติดแหง่กอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง และพลังพิเศษที่เขามีก็หายไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ต้องอยู่ที่นี่ไม่สามารถไปไหนได้ ซึ่งเราก็งงว่าทำไมตัวร้ายถึงมาติดอยู่ในสถานที่โลกคู่ขนานแบบนี้ ไม่สามารถไปไหนได้อีก แล้วทำไมอยู่ดีๆพลังพิเศษเค้าถึงหายไปแบบง่ายๆได้ ตรงนี้เรามองว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ คืองงนะ
อีกตอนหนึ่งก็เป็นฉากตัวร้ายอีกคน ที่บทจะแพ้ก็แพ้แบบง่ายๆ โดยการโดนลมพัดปลิวแล้วหายไปเลย หาย. ไป.เลย. หายไปไหนก็ไม่รู้ หายไปออกนอกหน้าต่าง? โดนพัดปลิวหายออกไปนอกประตู? แล้วเสียชีวิต? หรือหายไปโดยการแอบหนีออกไปหลังจากโดนลมที่มาจากของวิเศษพัดใส่? อะไรยังไงไม่รู้แต่สรุปแล้วก็คือหายไปแบบ เฮ้ย หายไปไหนเนี่ย
.
.
.
พอบทตัวร้ายปูมาค่อนข้างอ่อน ก็เลยรู้สึกว่าบทสรุปสุดท้ายของเรื่องที่เด็กๆจัดการกับตัวร้ายไม่ได้ดูเหมือนสลักสำคัญอะไรมากเท่าไหร่ เพราะอย่างที่บอกว่าตอนช่วงกลางเรื่องหนังสือมันก็ดูลึกลับมีสิ่งให้น่าค้นหาว่าจะวางแผนจับกุมตัวคนร้ายได้อย่างไร ผู้ไม่หวังดีคือใคร แต่สุดท้ายแล้วคนร้ายก็แพ้ได้อย่างง่ายดาย มันเลยเหมือนเป็นการตัดจบเรื่องที่แบบว่าไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรให้วุ่นวาย
ของดีอย่างหนึ่งที่เรารู้สึกว่ามรดกมนตราจากกริมม์ยังใช้ไม่คุ้มเท่าไหร่ ก็คือของวิเศษที่บรรยายว่ามีอยู่เยอะแยะไปหมดในหอพัสดุแห่งนิวยอร์ก แต่สุดท้ายแล้วพอถึงเวลาเข้าตาจน หรือเวลาสำคัญๆกลับใช้ของพิเศษเพียงไม่กี่อย่าง เช่นกระจกวิเศษที่ใช้แล้วใช้อีก เจอตั้งแต่ตอนกลางเรื่องและใช้ไขปริศนาทุกอย่างจนถึงตอนจบ รองเท้าเจ็ดลีกที่พ่อหนุ่มมาร์คของเราแอบขอยืมใช้เป็นประจำเพื่อกิจส่วนตัวในบทแรกๆ ก็เป็นของอีกอย่างที่ถูกใช้มาตลอดจนท้ายเรื่อง แล้วอยู่ดีๆก็มีด้ายผูกที่สามารถป้องกันภยันตรายไม่ให้กล้ำกรายมาสู่ตัวได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเจอเวทมนตร์รูปแบบไหน ด้ายบางๆเส้นนี้ป้องกันได้หมดเลย ปิดท้ายด้วยพรมวิเศษที่แค่มีหน้าที่พาคน 2 คนบินล่องไปสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อออกเดทกันแค่นั้นเอง แล้วอยู่ดีๆเอลิซาเบธก็ไปเจอภาพต้องประสงค์ในห้องของครูสอนวิชาสังคมศึกษาซะอย่างนั้น แต่ไม่ได้บอกที่มาที่ไปว่าเหตุผลที่ของวิเศษชิ้นนี้ถึงไปอยู่กับครูที่ดูเหมือนธรรมดาๆคนหนึ่ง
หากผู้อ่านท่านใดเคยฟังเรื่องราวจากสองพี่น้องตระกูลกริมมาบ้าง คุณจะมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังสือเล่มนี้ มีหลายช่วงที่กล่าวถึงนิทานแต่ละเรื่อง เพื่อให้เราระลึกถึงความเป็นมาของของวิเศษเหล่านั้น สำหรับเราเวลาอ่าน ก็ต้องแอบค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตอยู่บ้าง เพราะนิทานบางเรื่องเราก็ลืมไปแล้วว่ามันเป็นมาอย่างไร เพราะฉะนั้นหากคุณมีความทรงจำเกี่ยวกับนิทานกริมม์อยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้เสมือนภาคต่อที่เสริมสร้างจินตนาการว่าหากสิ่งที่พูดถึงในนิทานกริมม์มีอยู่จริงในโลกของเรา มันจะกลายเป็นอะไร ทำงานอย่างไร มีผลกระทบอะไรต่อผู้ใช้และคนที่อยู่รอบข้าง
วิเคราะห์ตัวละคร
ตัวละครหลักของเรื่องคือเอลิซาเบธ พร้อมด้วยเพื่อนๆเสมียนที่ทำงานที่หอพัสดุแห่งนิวยอร์ก ได้แก่มาร์ค อัญชลี และแอรอน
เอลิซาเบธ : เอลิซาเบธเป็นเด็กที่พูดน้อย เรารู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะพูดก็ต่อเมื่อเธอจำเป็นที่จะต้องพูดและเป็นคนที่คิดก่อนพูด ดูได้จากบทสนทนาที่เธอคุยกับมิสเตอร์เมาส์คอฟที่เป็นครูสอนวิชาสังคมศึกษาที่โรงเรียน แต่สิ่งที่เราชอบในบุคลิกของเอลิซาเบธก็คือ เธอเป็นคนรู้จักประนีประนอม โดยเฉพาะในสถานการณ์คับขันต่างๆ เอลิซาเบธเป็นคนที่ใช้คำพูดให้เห็นเหตุและผล แม้แต่ตอนที่ปกติเธอก็สามารถเกลี้ยกล่อมให้คนที่ไม่ถูกกันสามารถทำงานเข้ากันได้ มันทำให้เรารู้สึกว่าบุคลิกในการรู้จักประนีประนอมของเธอเป็น ‘สิ่งที่ผู้นำควรมี’
การประนีประนอมไม่ใช่ความอ่อนแอแต่จริงๆแล้วมันคือจุดแข็งในการทำงานที่หลายคนมองข้าม ลองคิดดูว่าหากเราทำงานเป็นทีม แต่คนหนึ่งไปทาง อีกคนหนึ่งไปอีกทาง ไม่สามารถหาจุดตรงกลางร่วมกันได้แล้วงานจะสำเร็จหรือไม่ ในทีมเราต้องการคนแบบเอลิซาเบธอยู่เสมอ เราไม่สามารถขาดคนแบบนี้ไปได้ในการทำงานกลุ่ม
มาร์ค : ตามบุคลิกของมาร์คในท้องเรื่องเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ แขนขายาวสมส่วนตามสไตล์นักกีฬาสุดฮ็อตประจำโรงเรียนที่ทุกโรงเรียนจะต้องมีคนแบบนี้เสมอ เขาดูเป็นคนดีในสายตาคนอื่น เพราะรัศมีความเป็นนักกีฬาของเขาทำให้เรามองไม่เห็นตัวตนอีกด้านหนึ่ง ในหนังสือเล่มนี้ หากอ่านไปเรื่อยๆคุณจะพบว่ามาร์คไม่ใช่เทพบุตรคนดีทั้งแท่ง เพราะชอบยืมของจากหอพัสดุไปใช้เพื่อการส่วนตัวอย่างไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ยืมไปใช้ไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียใดๆตามมา แต่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง หากมีอะไรเกิดขึ้นมาใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ในเมื่อมาร์คเป็นคนไม่ทำตามกติกาตั้งแต่แรก แล้วตอนที่เอลิซาเบธบอกให้มาร์คหยิบแต่สิ่งของที่จำเป็นที่จะเอาไปใช้ในการไขคดี มาร์คเหมือนจะทำตามข้อตกลง แต่ท้ายที่สุดมาร์คก็แอบหยิบของชิ้นอื่นมาจากห้องสะสมของพิเศษกริมม์ ที่ถึงแม้มันจะช่วยทุกคนได้ แต่หากเอะใจ มันคือการไม่เล่นตามข้อตกลงตั้งแต่แรก
อัญชลี : สาวสวยประจำเรื่อง มาแบบครบสูตร สวย รวย เก่ง ที่สำคัญคืออัญชลีเป็นคนนิสัยดีมากๆเข้ากับทุกคนได้ง่าย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นเสมอ แต่เรารู้สึกว่าบางทีอัญชลีก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่นิดๆ หากคนอ่านไม่ได้สังเกตก็จะไม่รู้สึกว่าเธอมีจุดนี้ อย่างอัญชลีโกหกแม่ของเธอว่าตัวเธอไปดูการแข่งขันบาสเกตบอลกับเอลิซาเบธ ทั้งที่เอลิซาเบธไม่รู้เรื่องด้วย แต่ก็เล่นไปตามน้ำกับเรื่องที่อัญชลีกุขึ้น คืออัญชลีใช้เอลิซาเบธมาเป็นเหยื่อในการสร้างเรื่อง อีกเรื่องคือตอนที่เธอเอาของวิเศษจากเอลิซาเบธมาใช้ ถึงแม้มันจะดูเหมือนเป็นของวิเศษที่ไม่ได้ให้พลังอะไรมากมายก็ตามแต่อัญชลีก็ยังเอามาใช้ เพราะรู้ว่าหากใช้แล้วมันจะส่งผลดีกับเธอ และยังร่วมมือกับเสมียนคนหนึ่งแอบยืมของโดยไม่ผ่านวิธีการที่ถูกต้อง แต่หากมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไปอัญชลีถือว่าเป็นเพื่อนที่น่ารักมากๆคนหนึ่งเลย
แอรอน : ตอนแรกไม่นึกว่าแอรอนจะหน้าตาดี แต่หลังจากที่เอลิซาเบธของเราได้เห็นหน้าตาของแอรอนชัดๆก็หล่อไม่เบา โครงหน้าได้รูป ผมสีดำคลับและมีคางบุ๋ม นี่มันตัวละครในฝันแบบเจ้าชายรูปหล่อที่อยู่ในเทพนิยายชวนฝันใฝ่ ข้อเสียที่เรามองเห็นในตัวแอรอนคือ เป็นคนปากไม่ดีเสียเท่าไหร่ และเป็นคนค่อนข้างที่จะตรงไปตรงมาจนเกินไป เลยทำให้อาจจะดูเหมือนเข้ากับคนอื่นในตอนแรกไม่ได้ แต่คนอย่างนี้ถ้าหากว่าได้มาทำงานในบริษัท บอกเลยว่าจะเป็นมดงานที่ดีคนหนึ่งเลย เค้าจะทำงานทุกอย่างตามที่คุณสั่งหรือไม่มีข้อโต้แย้งอะไรมากมาย อาจจะมีเรื่องให้ปวดหัวบ้างก็ตอนที่เขาไม่ยอมทำงานนั้น เพราะเป็นคนเถรตรง ยึดมั่นในอุดมการณ์อันแรงกล้า(จนเกินไป)
ตัวละครที่เป็นเด็ก
ชยา : ตอนแรกไม่นึกว่าตัวละครนี้จะมีบทบาทในเรื่องนี้ แต่กลายเป็นว่าเธอเป็นตัวละครสำคัญที่ช่วยให้ทุกคนรอดพ้นจากอันตราย ถึงแม้ตอนแรกชยาจะดูน่ารำคาญในสายตาของอัญชลี (รวมทั้งเรา) แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะเธอรักพี่สาวและเทิดทูนพี่สาวเธอมาก ถึงชอบวนเวียนในชีวิตของอัญชลีเป็นประจำ และถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าพี่สาวออกไปเที่ยวกับแฟน ซึ่งพ่อแม่ของเธอต้องไม่พอใจแน่ๆ แต่ชยาก็ยังเก็บความลับของพี่สาวเป็นอย่างดี เพียงแต่อัญชลีไม่เคยรู้เลยว่าชยาน้องสาวคนเดียวของเธอรักเธอมากแค่ไหน
อองเดร : น้องชายของมาร์ค อายุประมาณสามหรือสี่ขวบ ไม่ได้มีบทบาท มากมายในท้องเรื่องเลย สำคัญแค่ตอนที่เป็นคนช่วยไขปริศนาโดยบังเอิญ มันเกิดขึ้นในขณะที่ทุกคนไม่สามารถแก้โจทย์ข้อนั้นได้ แต่อองเดรสามารถทำได้เพราะเหตุบังเอิญ
ตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่
มิสเตอร์เม้าส์คอฟ : เอลิซาเบธจะไม่ได้ทำงานที่หอพัสดุแห่งนิวยอร์กอันน่ามหัศจรรย์แห่งนี้ หากไม่ได้คำแนะนำจากมิสเตอร์เม้าส์คอฟ ตอนแรกดูเหมือนเป็นตัวละครที่น่าสงสัยอยู่มาก แล้วเขาก็หายไปตรงกลางเรื่อง มาโผล่อีกทีก็ตอนที่ทุกอย่างคลี่คลายหมดแล้ว แล้วเขาเป็นใคร ทำไมถึงเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงสุนัขตัวโตที่มีปีกด้วย หากย้อนกลับไปตรงเนื้อความด้านบน เราได้กล่าวไว้แล้วว่าตัวละครในหนังสือเล่มนี้บทจะมาก็มาจะไปก็ไปเอาแบบดื้อๆ
ดอกเตอร์รัสต์ : ผู้อำนวยการแห่งหอพัสดุนิวยอร์ก เรามั่นใจว่าดอกเตอร์รัสต์เนี่ยปูมหลังจะต้องเป็นคนที่มีความสำคัญในการบริหารจัดการหอสมุดแห่งนี้แน่ แต่เนื้อเรื่องไม่ได้เกริ่นอะไรมากเกี่ยวกับเขาเท่าไหร่ และงงมากว่าดอกเตอร์รัสต์ผู้ซึ่งเหมือนมีความรู้มากเกี่ยวกับมนตราและของวิเศษต่างๆกลับเสียทีพลาดท่าให้กับฝ่ายร้ายโดยที่ไม่มีการอธิบายว่าเหตุใดดอกเตอร์ถึงถูกทำให้เป็นอย่างนั้น
มิสคัลเลนเดอร์ : เป็นหนึ่งในตัวละครของบรรณารักษ์ที่หอพัสดุที่มีบทบาทที่สุดแล้ว เกี่ยวข้องกับเด็กๆทุกคน ยิ้มง่าย เข้าใจเด็กเป็นอย่างดี หากใครได้เธอเป็นพี่เลี้ยงคงจะปลื้มได้ไม่ยาก และเธอเนี่ยแหล่ะที่ถูกไขความลับในหน้าท้ายๆของหนังสือ
เอาหล่ะ หลังจากกล่าวเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในหนังสือไปเยอะแล้ว เราขอแสดงความรู้สึกเกี่ยวกับตัวหนังสือและสำนักพิมพ์หน่อยละกัน
ข้อดี
- สำนักพิมพ์อิ่มอ่านส่งหนังสือมาได้อย่างทันใจ รออยู่ประมาณสองวันเท่านั้นก็ได้หนังสือแล้ว
- แอดมินของสำนักพิมพ์อิ่มอ่านตอบคำถามได้รวดเร็วมาก ถึงแม้ว่าตอนแรกจะงงๆกันนิดหน่อยเรื่องที่ถามว่ามรดกมนตราจากกริมม์เป็นหนังสือชุดเดียวกันกับของตกทอดจากเวลส์หรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้จากแอดมินตอนแรกบอกว่าไม่ใช่ชุดเดียวกัน แต่บอกว่ามนตราจากกริมม์เป็นชุดเดียวกับนิทานกริมม์หฤโหด ทำให้เราคิดว่าอาจจะเป็นแอดมินใหม่หรือเปล่า และแอดมินก็เป็นเด็กใหม่จริงๆ ซึ่งเราไม่ได้ติดใจอะไร ต้องขอชมว่าแอดมินตอบคำถามได้รวดเร็วดีมาก
- หนังสือเล่มนี้ไม่มีคำผิดเลย! ซึ่งต้องขอปรบมือให้กลุ่มบุคคลที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ออกมาเป็นรูปร่างได้ ขอบคุณบรรณาธิการ ผู้พิสูจน์อักษร และคนที่เกี่ยวข้อง น้อยครั้งที่เราจะเจอหนังสือที่ไม่มีที่พิมพ์ผิดเลย เพิ่มเติมคือเรารู้สึกว่าผู้แปลมีความสามารถในการใช้ภาษาอยู่มาก คือในหนังสือเล่มนี้มีคำที่ไม่ค่อยคุ้นหูค่อนข้างเยอะ เช่นคำว่า ผ้าตาด เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำให้เราต้องไปเปิดหาว่ามันเป็นผ้าแบบไหนกันแน่ มีการใช้คำว่า ‘ภุชงค์’ และ ‘ทวิชาติ’ ซึ่งเรายอมรับเลยว่าเราไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร ตอนแรกเรานึกว่าทวิชาติหมายถึงสองชาติเลยด้วยซ้ำ แต่พอไปเปิดดูในอินเตอร์เน็ตแล้วถึงได้ร้องอ๋อ
หนังสือในเล่ม หากคุณต้องการจะพูดกับของพิเศษต่างๆ คุณต้องเอ่ยวาจาเป็นคำกลอน ทำให้เราเห็นว่าคนที่ใช้ภาษาต้องเข้าใจความซับซ้อนของภาษาไทยและอังกฤษ เพราะกลอนที่เขียนออกมาเป็นภาษาไทยต้องมีการเล่นคำ หากคุณมีความสามารถทางภาษาไม่มากพอ ไหนจะต้องแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยด้วย แล้วจะต้องสร้างคำภาษาไทยที่มีความหมายคล้องจองกัน ใช้คำที่ต่างกันแต่ยังคงความหมายเดิม อย่างเช่นพวกคำไวพจน์ที่ใช้ในการแต่งกลอน ภาษาที่แปลออกมาคงจะไม่เพราะแน่ๆ
ข้อเสนอแนะ
- หนังสือที่ได้รอบแรกเป็นมีราเหลืองเยอะมาก เราก็ได้แจ้งทางแอดมินไป แล้วแอดมินก็ส่งเล่มใหม่มาให้ได้ รอไม่กี่วัน เล่มใหม่ที่ได้มาแทบจะไม่มีราเหลืองเลย เราก็เข้าใจนะว่าหนังสือคงมีร่องรอยผ่านกาลเวลาอันยาวนานหลังจากตีพิม์ เพราะหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเกือบจะ 10 ปีแล้ว แต่เราก็อยากฝากให้ทางสำนักพิมพ์เช็คสภาพของหนังสือก่อนส่งหน่อย เพราะเล่มที่ 2 ที่ได้มาไม่มีราเหลืองจุดเล็กๆแค่ไม่กี่หน้าเท่านั้น แสดงว่ามีหนังสือเล่มอื่นที่ยังคงสภาพดีอยู่ แต่ไม่ได้ส่งมาให้แต่แรก
- เสียใจมากที่ทางสำนักพิมพ์ไม่มีที่ขั้นหนังสือมาให้ หรือเราเป็นโรคจิตที่เวลาซื้อหนังสือเราจะต้องได้ที่คั่นหนังสือ? ทางแอดมินบอกว่าหนังสือชุดนี้ไม่มีที่คั่นแถมมา แต่เรารู้สึกว่าเวลาเราซื้อหนังสือ ถึงแม้ว่าหนังสือชุดนั้นไม่ได้เป็นชุดพิเศษอะไร การแถมที่คั่นหนังสือก็เป็นเรื่องปกติ (หรือเปล่า?) สมัยก่อนเวลาเราไปซื้อหนังสือที่ร้าน เขาจะแถมที่คั่นมาด้วย มันคือสิ่งที่เป็น must have ในการซื้อหนังสือเลยนะ แต่หากการแจกที่คั่นหนังสือไม่ใช่นโยบายทั่วไปในตอนนี้ เราก็พร้อมที่จะรับฟังจ้า
มรดกมนตราจากริมม์ทำให้เรารู้สึกว่ามีของพิเศษมากมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในโลกของเรา และพร้อมให้คุณได้สัมผัส ลองยืมลองใช้ของเหล่านี้ เอลิซาเบธ มาร์ค อัญชลี และแอรอนจะพาคุณเยี่ยมชมหอพัสดุแห่งนิวยอร์ก เพื่อที่จะได้ช่วยสืบหาวายร้ายในวรรณกรรมเล่มนี้ไปด้วยกัน หากคุณพร้อมแล้ว…ยินดีต้อนรับสู่ขอพัสดุแห่งนิวยอร์ก!