ชื่อหนังสือภาษาอังกฤษ : –
ชื่อภาษาไทย : นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ
เขียน : ฮาวัน
แปล : ตรองสิริ ทองคำใส
สำนักพิมพ์ : Springbooks
จำนวนหน้า : 280 หน้า
ISBN : 9786161840082
ภาษา : ไทย
ราคาปก : 295 บาท
ความคิดเห็น
เป็นครั้งแรกที่ได้อ่านหนังสือสัญชาติเกาหลี ซื้อมาเพราะหน้าปกมันดูฮาดี (นี่สินะที่เขาเรียกว่าตัดสินหนังสือจากปก ฮ่าๆ) แล้วชื่อเรื่องมันก็ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะในยุคปัจจุบันนี้ชีวิตเรามันต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกิน แล้วไหนจะประโยคที่เขาฮิตกันอยู่พักหนึ่งกับ ‘ของมันต้องมี’ คือมันต้องมีจริงๆหรอ? ถ้าไม่มีแล้วชีวิตเราจะอยู่ได้ไหม?
หนังสือเล่มนี้เราสั่งผ่าน Shopee จากร้านหนังสือร้านหนึ่ง มาถึงมือด้วยสภาพดีงาม เสียอย่างเดียวตรงที่ไม่มีที่คั้นหนังสือมาให้ด้วย นอกจากหนังสือที่ได้มาหลังจากจ่ายเงิน เราก็หวังอยากได้ที่คั่นนะ มันเหมือนแบบว่ามาด้วยกันไปด้วยกันทำนองนั้น พอแกะบับเบิ้ลออกมาใจก็เต้นรัวเพราะเห็นขอบเป็นสีๆ ในใจก็คิดไปต่างๆนาๆว่ามันจะเป็นพวกหนังสือคำพูดปลุกใจหรือพวกคำคม 2-3 บรรทัดต่อหน้าพร้อมรูปภาพประกอบฟุ้งๆรึเปล่า เพราะเราไม่ค่อยชอบพวกหนังสือรวบรวมคำคมอะไรเทือกนั้นมากนัก มันจะไม่คุ้มกับราคา 295 บาทเชียวนะ
เมื่อเปิดหน้าปกก็พบว่าทั้งเล่มเป็นกระดาษอาร์ตมัน เน้นโทนสีฟ้า น้ำเงิน พร้อมตัวการ์ตูนประกอบแต่ละบทอย่างน่ารักน่าหยิก โดยเฉพาะตัวที่แทนผู้เขียน ออกแบบมาให้เหมือนคนที่ขี้เกียจใช้ชีวิตโดยใส่แค่กางเกงในสีขาวตัวเดียวนี่แหล่ะ แหม่…ช่างเปรียบเทียบจริงๆนะคุณฮาวัน
หนังสือไม่ได้มีดีแค่หน้าปกและกระดาษสีที่ส่งกลิ่นไออันเป็นลักษณะเฉพาะของกระดาษสีแบบนี้อย่างเดียว ผู้เขียนเขียนได้สนุก บอกได้ว่าเป็นหนังสือสัญชาติเกาหลีที่ทำให้เราอ่านจนแทบวางไม่ลง คือมันอ่านได้เรื่อยๆนะ เรื่องย่อยแต่ละบทหนึ่งมีประมาณ 3-5 หน้า อ่านตั้งแรกก็พอทรายคร่าวๆได้ว่าคุณฮาวัน(ผู้เขียน) เป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 40 ปีที่ตัดสินลาออกจากงานประจำโดยยังไม่มีแผนว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดี บ้านก็ไม่มี รถก็ไม่มี เงินหรอ? ก็ไม่ค่อยมี แต่เพราะอะไรเขาถึงได้ตัดสินใจออกจากงานในช่วงวัยนี้มาเป็นฟรีแลนซ์ทั้งที่งานก็มีบ้างไม่มีบ้าง? คุณฮาวันบอกว่าก็เขาไม่อยากตั้งใจใช้ชีวิตน่ะสิ่!
หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 4 บทด้วยกัน บทที่ 1 ขยันหมั่นเพียรเพื่อชีวิตแบบนี้น่ะหรือ, บทที่ 2 ตามใจตัวเองสักครั้ง, บทที่ 3 ความหมายของการทำมาหากิน และบทที่ 4 เกือบแย่แล้ว โดยทั้ง 4 บทก็จะแยกออกมาเป็นตอนย่อยๆ มีการเปรียบเทียบให้เราเห็นภาพตามได้ทันที เช่นการเปรียบเทียบตัวตนภายในของตัวเองดังเช่นกางเกงใน! หรือการยกตัวอย่างหนังดังมาให้เราเห็นภาพ ที่เราชอบคือการเสียดสีสังคม ณ ปัจจุบันที่เราต่างถูกชี้นิ้วตราหน้าตัดสินว่าไม่ดี! ไม่ถูกต้อง! คุณน่ะมันพวกผิดแผก! ให้เห็นภาพกันอย่างถึงพริกถึงขิง
ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะยกตัวอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในเกาหลีใต้ แต่ลักษณะของสังคมก็ไม่ต่างจากประเทศเราเสียเท่าไหร่เลยเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรของเรา ก็ถ้าอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง เป็นายตัวเองแบบที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันที่เกาหลีใต้ก็เปิด ‘ร้านไก่ทอด’ ถ้าเป็นเมืองไทยก็ต้องออกมาเปิด ‘ร้านกาแฟ’ กันยังไงล่ะ! แล้วสุดท้ายน่ะหรือ? ลองนับนิ้วดูว่ามีกี่รายที่ไม่ขาดทุนบ้าง และเหลือรอดกี่ราย
จริงๆสิ่งที่คุณฮาวันเขียนไว้ก็เป็นสิ่งที่พ่อมักจะพูดกับเราเสมอๆ และเราก็จำมันขึ้นใจ สิ่งที่คุณฮาวันเขียนไว้และตรงกับที่พ่อเราพูดให้ฟัง เราชอบมาก เพราะเห็นกี่ครั้งก็เป็นตามที่พ่อว่าไว้ทุกครั้ง
เนื้อแท้ปริศนาคือความสนุก
หน้า 68 – นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ
ก็มันจริงนี่! เราคนหนึ่งล่ะ เวลามีกิจกรรมต้องไปกินข้าวหรืออะไรก็มักจะเป็นคนเสนอให้เล่มเกมส์สนุกๆอยู่เสมอ ช่วงที่สนุกไม่ใช่ตอนที่มานับคะแนนว่าใครได้เยอะกว่ากัน แต่เป็นตอนที่ทุกคนกำลังทำคะแนนต่างหาก ยิ่งเวลาเห็นพวกเขาตะโกนกัน พยายามบลัฟอีกทีมล่ะสนุกสุดๆ ส่วนหลายคนที่เล่นเกมส์กับเราบอกเราว่า ตอนที่สนุกคือตอนที่พยายามบอกใบ้ให้ปลายทางทายให้ถูก ไม่ใช่ตอนที่รู้ว่าชนะซะหน่อย
หากเทียบอีกอย่างให้เห็นก็ ‘เรื่องผี’ เจอจังๆก็ไม่เคย แต่เวลามีคนเล่าให้ฟังกลัวก็กลัวแต่ก็สนุกชะมัด ทั้งๆที่เรื่องนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้
เรามองว่าก็คงเหมือนกับชีวิตเราล่ะมั้ง ชีวิตเรามันไม่มีคำตอบตายตัว ไม่มีใครรู้คำตอบในอนาคตหรอก ถ้ารู้ทุกคนก็คงเดินไปเส้นทางเดียวกัน ทำอะไรเหมือนๆกันหมดแล้วล่ะสิ่ แต่ระหว่างทางของชีวิตต่างหากที่จะมาให้เราขบคิดแก้ปัญหาว่าเราจะทำอย่างไรกับมันดี ชีวิตมันก็เหมือนการเล่นเกมส์ที่มีด่านแต่ละด่านมาให้แก้ เพียงแต่มันต่างจากการเล่นเกมส์ตรงที่ว่า ปัญหาแต่ละอย่างในชีวิตมันก็ไม่ได้สนุก และถ้าหากทำพลาดไปเราก็อาจจะเสียเวลาชีวิตไปเยอะ แต่อย่างไรเสีย สุดท้ายถึงมันจะคิดไม่ออกว่าต้องแก้อย่างไร ชีวิตก็จะดำเนินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ หากลงทุนทำอะไรผิดพลาดเจ๊งขึ้นมา ถ้าเราแก้ได้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิม หรือไม่ก็หมดตัวไปเลย แล้วมันใช่จุดจบของชีวิตแบบเดียวกับเกมส์ที่เล่นกันจดสุดกระดานหรือเปล่า? คำตอบคือ ‘ไม่ใช่’ เพราะเรายังมีลมหายใจอยู่ นั่นล่ะคือระยะเวลาให้คุณได้เล่นเกมส์ชีวิตของคุณต่อ สนุก เศร้า ตื่นเต้น มีความสุข เครียด วิตก หกล้ม ขึ้นสู้ เค้าคนปะปนกันไป
เมื่อก่อนชอบมีคนถามผมว่าไปดูหนังโรงได้ไงคนเดียว
หน้า 105 – นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ
คือเราโดนเพื่อนสมัยม.ปลายที่ไม่ได้เจอกันมานานมากถาม เพราะเราสมัยอยู่โรงเรียนนี่เพื่อนเยอะ มนุษยสัมพันธ์ดี (อันนี้ไม่ได้อวยตัวเองนะ แต่หลายคนบอกมาจริงๆ) แต่พอมาเข้าสู่วันทำงานแล้วเราแทบจะไม่ติดต่อเพื่อนๆสมัยตอนอยาโรงเรียนเลย พอเจอกันก็ถูกถามว่า “แกอยู่ได้ไงไม่เจอเพื่อนเลย? ไม่เหงาหรอ?” เราก็มานั่งคิดนะว่า เอ…เราต้องเหงาหรอ เพราะช่วงวันธรรมดาก็มีเรื่องให้ทำเยอะแยะ มีคนให้พูดคุยด้วยทั้งวันอยู่แล้ว ชอบมีคนเดินมาคุยที่โต๊ะด้วยซ้ำ เสาร์-อาทิตย์ก็มีงานพิเศษ พอมีเวลาได้อยู่คนเดียวเมื่อไหร่ เรารู้สึกดีใจชะมัด และเราก็ไม่ได้เป็น Introvert หรือ Extrovert จ๋า ไม่ได้มีปัญหาในการเข้าสังคมอะไรเลย เพื่อนโทรมาชวนไปไหนก็ไปได้หมด เป็นคนที่ถ้ามีคนส่งไมค์มาให้พูดต่อหน้าคนเป็นร้อยก็ไม่อายล่ะนะ ก็เหมือนที่คุณฮาวันเขียนเอาไว้ว่า ‘ผมคิดว่าคนที่รู้จักอยู่กับตัวเองสามารถผูกสัมพันธ์กับคนอื่นได้ดี’ ก็ดูท่าจะจริงล่ะนะ
…ซึ่งก็เกิดเพราะภูมิใจที่เราได้เลือกเอง ไม่ใช่แค่ฟังความเห็นจากใครอื่น
หน้า 119 – นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ
คือเราอยู่ในยุคที่เวลาทำอะไร จะซื้ออะไรก็เปิดหารีวิว สิ่งเหล่านี้มันมีประโยชน์นะ แต่มันเหมือนกับเป็นการที่เราตัดสินเพราะคำบอกเล่าของคนอื่น ส่วนตัวเราเวลาจะซื้อหนังสือสักเล่ม เราไม่เคยเปิดอ่านรีวิวก่อนเลย บางเล่มก็ดูหน้าปก อ่านปกหลังเพื่อดูคร่าวๆว่าพอไปกันได้ไหม หรืออยากอ่านแนวนี้บ้างจังก็จะซื้อมาสักเล่มเลย สุดท้ายมีอยู่เล่มหนึ่งที่ราคา 1,xxx บาท สีทั้งเล่มแต่เนื้อหาแบบว่า ต้องแค่นให้ตัวเองอ่านให้จบ แต่พออ่านจบแล้วเราก็ภูมิใจกับตัวเองนะว่าทนอ่านได้จนจบแฮะ ฮ่าๆ ก็แค่เสียดายเงินที่เราเสียไปแต่ไม่เสียใจที่เราเลือกซื้อหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเอง
สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนออกเดินทางไม่ใช่กำหนดการตามแผน แต่คือ ‘ใจไร้กังวล’
หน้า 132 – นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ
ก็นี่มันคือครอบครัวเราชัดๆเวลาไปเที่ยวสักที ที่มีคือแผนการคร่าวๆ พร้อมเงินในกระเป๋า แต่ที่สำคัญคือ ‘หัวใจอันพองโต’ ที่ได้ใช้เวลากับครอบครัว สิ่งที่เกิดตามมาคืออะไรน่ะหรอ? เดินหลงบ้าง ยืนรอซื้อตั๋วหน้างานบ้าง ทะเลาะกันบ้างตามประสา เอาเงินสดที่เตรียมสำรองไว้จ่ายไปก่อนจนต้องมานั่งตั้งใจเลือกเมนูอาหารที่สนามบิน ไม่งั้นเงินอาจจะไม่พอ (ตรงนี้นึกแล้วก็ขำตลอดนะ คือ ตอนนั้นเออออห่อหมกไปกับคนขับแท็กซี่ซื้อตั๋วเข้าสวนสนุกเป็นเงินสด สรุปเงินสดที่เป็นเงินสำรองของอีกวันหมด เลยต้องกระมิดกระเมี้ยนกันไป แต่จำไม่ได้ว่าทำไมตอนนั้นไม่ใช้บัตรเครดิต) เแต่พอกลับมาแล้วรู้สึกว่าทริปพวกนั้นมันอิ่มเอมมากจริงๆ ยังเอามาพูดมาแซวกันเองได้อยู่เสมอ
หากทำตามเสียงหัวใจตนเอง อย่างน้อยเราจะไม่โทษคนอื่น
หน้า 183 – นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ
จะสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ให้เป็นความรับผิดชอบของเรา นี่คือสิ่งที่คุณฮาวันได้บอกเราไว้ ส่วนเราจะถือคติว่า ‘หากมันจะผิดพลาด ก็ให้มันเกิดจากมือของเราเอง ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้ทำ’ เพราะหากเราทำพลาด สาเหตุจากที่เชื่อคนอื่น เจะโทษตัวเองมากเลยว่าทำไมเราต้องเชื่อเขาด้วยนะ ซึ่งคนๆนั้นเขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แค่โน้มน้าวให้เราเห็นว่าสิ่งที่เขาเสนอมันดีกว่าที่เราคิด แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ? … โธ่ ไม่น่าเชื่อเขาเลย
หนังสือเล่มนี้อ่านได้ทุกคน แต่ส่วนตัวเราว่ามันเหมาะมากสำหรับหนุ่มสาววัยกำลังก้าวสู่การทำงาน หรือหนุ่มสาวออฟฟิศที่กำลังวิ่งตามสังคมทุนนิยมมากจนเกินไป (ไม่ได้บอกว่าสังคมทุนนิยมไม่ดีนะ มันก็ดีในหลายส่วน แต่ถ้าอะไรที่มันสุดโต่งเกินไปก็คงจะไม่ดีแน่นอน) อีกส่วนที่เราอยากแนะนำให้อ่านคือเหล่า Management ในบริษัททั้งหลาย ก็นะ…เผื่อว่าเขาจะได้เข้าใจมุมมองลูกจ้างบ้างไง คนวัย 40-50-60 อยากจะอ่านเล่มนี้ก็ไม่เสียหลาย แต่ด้วยวัยวุฒิที่พอๆกับคุณฮาวัน เราคิดว่าท่านผู้อ่านในวัยนี้น่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวพอๆกับคุณฮาวัน ที่ต่างกันก็อาจจะเป็นเรื่องทัศนคติในการใช้ชีวิตในช่วงที่เหลือภายภาคหน้า
***************
หน้าที่พิมพ์ผิด
หน้า 134 ผมชอบแต่งตัวธรรมดาแต่ไม่ปอนจนใครๆดูออกว่าจน ควรจะเป็น ผมชอบแต่งตัวธรรมดาแต่ไม่ปอนจนใครๆดูไม่ออกว่าจน
ตรงนี้เราคิดว่าน่าจะตกหล่นคำว่าง ‘ไม่’ไป เพราะหากอ่านเนื้อเรื่องข้างใน แม่ของคุณฮาวันอยากให้ลูกแต่ตัวดูสะอาดสะอ้าน เลยขยันซักเสื้อผ้าให้บ่อยๆ แต่ยังไงคนเขาก็ดูออกอยู่ดีว่าบ้านของผู้เขียนสมันเด็กนั้นยากจน เพราะเสื้อผ้ามันสีมอ ปอนๆที่เป็นของตกทอดมา เพราะฉะนั้นประโยคนี้คุณฮาวันโตแล้วจึงเลือกแต่ตัวธรรมดาแต่ดูไม่ปอน เลยถือว่าแม่ของเขาทำสำเร็จแล้วที่ทำให้คนดูไม่ออกว่าเขาจน
หน้า 149 หากไม่มี “งานที่อยากทำ”สุดหัวใจ ก็ขอให้มี “งานที่ไม่อยากทำ” แล้วกัน ควรจะเป็น หากไม่มี “งานที่อยากทำ”สุดหัวใจ ก็ขอให้มี “งานที่อยากทำ” แล้วกัน
ส่วนนี้เราไม่แน่ใจว่าต้นฉบับเขียนมาอย่างนี้หรือเปล่า เพราะเวลาอ่านดูแล้วมันขัดกัน คือคุณฮาวันตอนแรกอยากทำงานที่ตัวเองรัก แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรก็ขอให้เป็นงานที่ทำได้แล้วกัน (จากเนื้อหาที่อ่าน) เขาบอกว่า’ขอแค่อย่าทรมานตัวเองนักเป็นพอ’จึงทำให้เราคิดว่าพิมพ์อะไรผิดหรือเปล่า
หน้า 177 แต่ละคนผัดกันเสนอข้อมูลกับสินค้าที่คิดไว้ในใจ ควรจะเป็น แต่ละคนผลัดกันเสนอข้อมูลกับสินค้าที่คิดไว้ในใจ
คำว่า ‘ผัด’ คือการผัดออกไป ใช้กับเวลา หรืออากัปกิริยาเวลาทำกับข้าว ส่วน ‘ผลัด’ คือการสลับไปมา ผลัดเปลี่ยนกัน เพราะฉะนั้นที่นี้จึงควรใช้คำว่า ‘ผลัด’
หน้า 209 สมมติเราสั่งอาหาร ควรจะเป็น สมมุติเราสั่งอาหาร
ถ้าถามเรา เราคิดว่าหนังสือเล่มที่ถูกพิมพ์ทั้งหมด 4 ครั้งควรจะมีคำผิดให้น้อยกว่านี้ แต่ส่วนตรงที่ไม่ได้พิมพ์ผิดเราไม่แน่ใจว่าเกิดจากการที่ต้นฉบับเขียนมาอย่างนั้นหรือเปล่า จึงทำให้คำแปลออกเพี้ยนไปจากบริบท