นิทานกริมม์เล่มสุดท้าย

ชื่อหนังสือภาษาอังกฤษ     : –
ชื่อภาษาไทย        : นิทานกริมม์เล่มสุดท้าย
เขียน                      : Adam Gidwitz (อดัม กิดวิทซ์)
แปล                        : น้ำหวานพิษ
สำนักพิมพ์           : อิ่มอ่าน
จำนวนหน้า          : 256 หน้า
ISBN                      : 9786167105727
ภาษา                     : ไทย
ราคาปก                : 200 บาท

ความคิดเห็น

เล่มสุดท้ายของชุดนิทานกริมม์ได้ดำเนินมาถึง เล่มนี้เป็นเล่มที่เปิดตัวมาก็รู้สึกหดหู่พอสมควร ไม่นึกว่านิทานสำหรับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปมันจะเปิดตัวมาด้วยความโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ ตัวละครเอกก็ยังเป็นหญิงชายและมีความผูกหันกันตามสายเลือดที่เกิดมาจากผู้แม่เดียวกัน แต่วิธีการเกิดมาของเด็กทั้ง 2  – โยรินดาและโยรินเกล ค่อนข้างจะพิสดารกว่าเล่มอื่น และทั้ง 2 ก็รักกันมาก ผูกพันกันมากสุดหัวใจ ดูแล้วอาจจะสนิทกันมากกว่าแฮนเซลและเกรเทล เพราะโยรินดาและโยรินเกลเติบโตมาด้วยกันโดยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับแม่เสียเท่าไหร่

เรื่องนี้จะเป็นการกล่างถึงความสัมพันธ์ของโยรินดากับโยรินเกลซะมากกว่าแสดงให้เห็นถึงการแก้ปัญหาแบบใช้ไหวพริบเหมือนในเล่มอื่นๆ ตัวละครเอกของเราใช้เชาว์ปัญญาอยู่ประมาณ 2 ครั้งเห็นจะได้ เท่าที่จำได้ก็เป็นตอนที่โยรินดาใช้สมองเอาตัวรอดจากสัตว์ร้ายในบ้านของมัลคีเซเด็ค และยังได้เงินค่าภาษีกลับมาอีกด้วย ส่วนครั้งต่อมาก็จะเป็นตอนท้ายๆเรื่อง ที่โยรินเกลมีความปรารถนาจะไปช่วยพี่สาวของเขาในแดนนรกอันมืดมิดสุดแรงกล้า ทำให้ได้ประจันหน้ากับพญามารที่เคยเสียท่าให้กับพรรพบุรุษของเขา ซึ่งก็คือแฮนเซล!

แต่จะว่าไป…ก็โยรินเกลก็ไม่ได้ใช้ไหวพริบในการแก้ปัญหาเท่าไหร่เลย ต้องบอกว่าลองใช้ในตอนแรกและก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ที่รอดออกมาได้จากภูมินรกเป็นเพราะว่าท่านย่าของพญามารเป็นหญิงชราใจดี จิตใจมีเมตตา เลยทำให้พญามารเจ้าแห่งนรกทั้งปวงกลับต้องเออออห่อหมกยอมปล่อยตัวเด็กชายคนนี้ไปด้วยเสียมิได้ คือแบบว่าบทจะปล่อยก็ปล่อยง่ายๆแบบนี้น่ะหรือ? มีการมานั่งเล่านิทานให้ย่าของพญามารและพญามารฟัง พญามารชอบใจ นั่งหัวเราะกับความอาภัพในโชคชะตาเด็กทั้ง 2 เลยรีบไปบอกให้ไปพ้นๆจากแดนแห่งความทุกข์นี้ซะ เจ้าแห่งนรกกลายเป็นตัวตลกไปเสียอย่างนั้น ส่วนตัวรู้สึกว่าเล่มสุดท้ายในชุดนิทานกริมม์นี้เป็นการพยายามผูกเรื่องทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันตั้งแต่นิทานกริมม์หฤโหด ในกระจกหม่นมัว โดยการลากตัวละครทั้งหมดมาปรากฏในเล่มนี้ตอนท้ายเรื่อง เลยทำให้เรื่องดูยุ่งเหยิงปนกันไปเสียหมด แล้วไหนจะมีตอนที่โยรินดากับโยรินเกลวิ่งหนีจนเข้าสู่ดินแดนโลกทับซ้อนกับมิติแห่งความเป็นจริงมาโผล่ในโรงเรียนใจกลางเมืองของนิวยอร์ก! มาเจอผู้เขียน อดัม กิดวิทซ์ กำลังเล่านิทานให้เด็กๆในโรงเรียนฟัง

นอกจากนี้แม่ของโยรินดาและโยรินเกลสาวม่ายผู้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่ไม่รู้วิธีดูแลลูกของตัวเอง หลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดข้องเกี่ยวกับเด็กทั้ง 2 มาตั้งแต่วัยแบเบาะ ทำให้ความใกล้ชิดกับเด็กๆแทบไม่มี มีเพียงก็แต่ความรู้สึกลึกๆที่ได้แต่เก็บไว้ในใจ แต่บทจะต้องดูแลเด็กๆทั้งเมืองเป็นพันๆคนในช่วงท้ายเรื่องกลับทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมขึ้นมากะทันหัน

อย่างไรเสียนิทานเรื่องนี้ก็สอนให้เรารู้ว่าการเก็บความรู้สึกเอาไว้ในอกมันไม่ใช่เรื่องดีเสียทีเดียว การได้พูดเปิดอก ปลดปล่อยอารมณ์ที่ทำให้เราขุ่นมัวมันก็สามารถทำให้อะไรหลายอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเรื่อง ‘ความสัมพันธ์’ ผู้เขียนเปรียบเทียบให้เราเห็นภาพได้ดีว่า “การเก็บความรู้สึกเอาไว้เปรียบเสมือนกับการนอนทับฟูกนับสิบๆชั้น แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงเล็ดถึงที่ฟูกชั้นแรกทับเอาไว้”

แค่อยากบอกว่า ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะรู้สึกอะไรบ้างในบางครั้ง อันที่จริงฉันคิดว่าการรู้สึกบางอย่าง – แม้จะเป็นความเจ็บปวด – ก็เป็นเรื่องดี

นิทานกริมม์เล่มสุดท้าย

คุณน้ำหวานพิษยังแปลสำนวนได้ดีเช่นเดิม และภายในเล่มนี้ก็ประทับใจผู้อ่านที่หาคำพิมพ์ผิดไม่เจอเลยสักที่ แต่ก็ยังมีจุดที่แปลออกมาแล้วมันดูขัดตาแค่ 1 ที่เท่านั้น
‘แสงสว่างเดียวมาจากเหล็กเขี่ยไฟเรืองๆที่หล่นอยู่บนพื้น เข้าก้มลงหยิบขึ้นมาชูเหนือศีรษะ ความมืดมิดมืดตื๋อจนโยรินเกลมองไม่เห็นอะไรเลยควรแก้เป็น ความมืดมิดมืดตื๋อจนทำให้โยรินเกลมองไม่เห็นอะไรเลย หรือ ความมืดมิดมืดตื๋อทำให้โยรินเกลมองไม่เห็นอะไรเลย